“ได้ยินเสียงนั่นไหม?” มือเรียวชี้ขึ้นข้างบนอย่างไร้จุดหมาย ไม่ใช่ว่าต้องการให้ใครมองตาม
แต่มืออีกข้างที่ป้องที่หูของเขาเองเป็นเครื่องบ่งชี้อีกอย่างว่าให้ฟังเสียงบางอย่างที่ดังมาจากเบื้องบนนั่นเอง
“…” คู่สนทนาของเขานิ่งเงียบ
ดวงตาฉายแววสงสัยก่อนที่จะเงี่ยหูฟังตาม
‘กรึก...กรืด... ครืนนนนนนน ครึก...
กึก..’
ราวกับเสียงของหนักๆที่ถูกครูดไปตามพื้นคอนกรีต จะว่าต่างก็ไม่ต่าง
เพราะแท้จริงแล้ว…
“มันเป็นเสียงของวงกต ที่เคลื่อนสลับที่ไปมาทุกๆคืน” นิวท์ หนึ่งในชาวทุ่งที่อยู่มาราว 3
ปีอธิบายขึ้นเพื่อคลายข้อสงสัย แผ่นหินที่หนักอึ้งนั้นกำลังขยับไปมา
คำพูดที่ไม่น่าเชื่อแต่กลับหนักแน่นไปด้วยข้อมูลความจริงที่เป็นหลักฐานปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา
โทมัส ทำได้แค่มองเด็กหนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้า
ในจังหวะที่อีกฝ่ายหันกลับมามองพอดี
.
.
.
“พรืดดด”
“ฮ่าๆๆๆ”
อยู่ๆทั้งคู่ก็หัวเราะออกมา ทั้งๆที่ร่างที่เพรียวบางกว่ายังเคี้ยวหมูปิ้งเสียบไม้ในมือไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำลายของเขาแตกฝอยออกมาเล็กน้อย
แต่คงไม่มีใครสนใจแล้วล่ะในเวลานี้
“ค้าาาท!! โธ่...
เมื่อไรพวกนายจะเลิกขำเวลามองหน้ากันสักทีฮะ?” เวส ผู้กำกับคนเก่งลดระดับโทรโข่งก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเคร่งเครียดหันมาหัวเราะบ้าง
เมื่อเห็นว่าเจ้าสองตัวแสบตรงหน้ายังกลั้นขำอยู่ในลำคอไม่หยุด โดยเฉพาะ โทมัส
ที่ผิวขาวจัดจนตอนนี้ใบหน้าเรื่อไปด้วยสีแดงแทบทั้งหน้าแล้ว
“โทษทีครับ ฮ่าๆ” ดีแลน ยกฝ่ามือขึ้นกลายๆประกอบคำขอโทษ
ก่อนจะยกโหลน้ำที่ในเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ที่เขากำลังแสดงอยู่บอกไว้ว่า ‘มันจะช่วยให้ขนหน้าอกดกดำ’ ขึ้นมาจิบเล็กน้อย...
โชคดีที่จริงๆแล้วมันเป็นแค่น้ำซุปมะเขือเทศรสเยี่ยม
“เอาใหม่นะ”
“กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน…
ซีน 7 คัท 2 เทค 3”
“แอคชั่น!”
เสียงสเลทกระทบกันดัง ‘กึก!’ เป็นสัญญาณเพื่อเตือนให้นักแสดงในฉากทุกคนเข้าสู่บทบาทแห่งตัวละครอีกครั้ง
เริ่มต้นด้วยความเงียบสงัดที่แผ่ซ่านไปโดยรอบ
ก่อนที่ทั้งคู่จะพูดบทของตัวเองออกมาอย่างลื่นไหล สมกับเป็นนักแสดงมืออาชีพ
จนกระทั่งมาจบลงที่บทพูดของ โทมัส หรือ นิวท์ ในเรื่อง
“มันเป็นเสียงของวงกต
ที่เคลื่อนที่สลับกันไปมาอยู่ทุกคืน…” ดวงตาที่จริงจังกับคิ้วที่ขมวดแน่นถูกสื่อให้อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
ดีแลนกลืนน้ำลายเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้คิดว่ามีเลศนัย
คอของเขาค่อยๆเอียงไปฝั่งซ้าย ในจังหวะที่ส่งซิกผ่านดวงตาไปให้อีกฝ่าย
พร้อมกับยื่นใบหน้าไปใกล้ๆ
โทมัสเลิกคิ้วก่อนจะค่อยๆเอียงคอตามไปอีกฝั่ง
และค่อยๆยื่นใบหน้าตามไปบ้าง
เขารู้สึกได้ถึงมือชื้นเหงื่อของตัวเองที่กำไม้เสียบหมูปิ้งไว้แน่น
แต่แล้วดีแลนก็รีบผละหน้าออกก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะไม่หยุด
พาลให้ผู้กำกับถอนใจแล้วยอมพักกองแต่โดยดี
“ไม่เป็นไรๆ
ยังไงวันนี้ช่วงกลางวันก็ได้มาเยอะเกินกว่าที่คิดไว้แล้วล่ะ
ยังไงก็พักกันสักครึ่งชั่วโมงเถอะ” สิ้นเสียงของผู้กำกับ
ทุกคนก็โห่ร้องปรบมือด้วยความยินดี กองเพลิงที่ปะทุอยู่ตรงหน้านี่คงไม่พ้นการปิ้งมาร์ชเมลโล่วฉลองกันก่อนที่ไฟจะมอดแน่ๆ
“เมื่อไรนายกับโทมัสจะเลิกเล่นกันสักทีเนี่ย?” เจ้าของเสียงทุ้ม
ไม่พ้นหนุ่มเอเชียตาหยีร่างบึ้กที่ค่อยๆเดินเข้ามาตบไหล่อีกคน เขาคือ ‘ลี กีฮง’ นั่นเอง
“ก็ช่วยไม่ได้อะ… มองหน้าหมอนั่นทีไรก็นึกถึงแต่เรื่องน่าจั้กจี้ทุกทีเลย” ดีแลนหัวเราะเบาๆ
“หมายความว่ายังไง?” กีฮงเอียงคอเล็กน้อยพลางเลิกคิ้วขึ้น
“เอาน่ะ… ว่าแต่หายไปไหนของเขาแล้วเนี่ย?” ร่างสูงพูดพลางกวาดสายตาไปมา
.
.
.
“ตลกนักรึไง?” โทมัสถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ก่อนจะพ่นลมหายใจออกจากปลายจมูกรั้นพลางมองไปนอกเตนท์สีขาวหม่น
“โทษที โทษที… ก็นะ
ไม่นึกว่าจะคิดมากขนาดนี้นี่” เด็กหนุ่มร่างอวบยกมือขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
แต่ก็ไม่วายกลั้นขำไม่อยู่จนน้ำลายแทบกระเด็นใส่หน้าฝ่ายตรงข้าม
“เอาที่สบายใจ” คิ้วสีคาราเมลขมวดเข้าหากัน
เขามีความคิดออกมาแวบหนึ่งว่าการมาปรึกษา เบลค
นี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือเปล่านะ?
“เอาอย่างนี้นะ… ขอทบทวนเรื่องราวอีกทีก่อน
คือฉากเมื่อกี้ที่พี่กับเฮียดีแลนเล่นกัน เฮียเค้าทำท่าจะจูบแต่สุดท้ายก็มาขำใส่
พี่เลยอยากรู้ใช่มั้ยว่าทำไมเฮียเค้าทำงั้น?” เบลคเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะเหยียดตัวตรงเป็นเชิงจริงจัง
“ฉันก็รู้น่ะแหละว่าเล่นแบบนี้ในกองถ่ายมันไม่แปลกหรอก แต่แบบ… อยู่ดีๆก็ทำขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย” โทมัสยักไหล่
ดวงตายังคงเหม่อมองออกไปข้างนอก
“แล้วพี่จะคิดมากทำไม
ดีซะอีก เรียกเรตติ้งเวลาทีมงานเอาไปทำเป็น Behind The Scenes ไง” เบลคค่อยๆค้อมตัวมาข้างหน้า
“นายนี่เหมือน ชัค ตัวจริงชะมัด… ช่างมันเถอะ ฉันแค่คิดว่ามันเสียเวลาเปล่าๆล่ะมั้ง” ในที่สุดโทมัสก็หันกลับมามองคู่สนทนา
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไม่เห็นต้องมาปรึกษากับผมเลย
เว้นแต่ว่าพี่จะรู้สึกอะไรบางอย่างกับการเล่นแบบนั้นของเฮียดีแลน”
สิ่งที่เบลคได้กลับมามีแต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ดูเข้มขึ้นอีกระดับเพราะมันกำลังถลึงมาทางนี้เต็มกำลัง
“ไร้สาระน่า”
“ไม่ไร้สาระหรอกถ้าพี่จะชอบเฮีย ผมสังเกตมานานแล้ว
ใครๆในกองก็รู้หมดแล้วล่ะม้าง” อยู่ดีๆเด็กหนุ่มก็เอนพิงพนักเก้าอี้พลางทำหน้ารู้ทัน
พาลให้ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงจัด
“ฉันไม่ได้ชอบเว้ย…”
“อย่าโกหกตัวเองเลยคร้าบบ… ผมไม่เคยเห็นพี่ตื่นมาชงกาแฟให้ใครตอนตี
5
นอกจากเฮีย
ไม่เคยเห็นใครที่ยอมสละเสื้อโค้ทตัวเองให้ใครหลังจากเฮียถ่ายซีนวิ่งเหนื่อยๆมาในอากาศหนาวแบบนี้
แล้วก็ไม่เคยเห็นใครแอบมองเฮียบ่อยได้เท่าพี่แล้วล่ะ” ในจังหวะนั้นโทมัสกำลังคิดว่าเขาอยากได้จอบมาขุดดินแล้วมุดหนีไปให้ถึงแกนโลก
“เรื่องนั้น… จริงหรอ? ที่คนอื่นในกอง…”
“กว่า 80% ไม่น่าพลาดนะ
ผมก็ไม่เคยถามหรอก แต่พี่ออกอาการชัดไปเอง”
“เฮ้อ…” ไหล่กว้างห่อลงอย่างละเหี่ยใจ
เขาว่าเขาก็ระมัดระวังที่สุดแล้วนะ
“เอาน่า การที่จะรักใครสักคนมันไม่ผิดหรอกครับ… ถึงยังไง…”
“เออๆ ช่างมันเถอะ พอแล้ว เลิกคุยเรื่องนี้
ฉันแค่อยากมาระบายแต่กลับได้ข้อมูลที่น่าเครียดกว่าเดิมซะอีก ยังไงก็ขอบใจมาก…” โทมัสลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินไปที่ทางออก เขาชะงักเท้าก่อนจะหันกลับมาที่เบลคอีกครั้ง
“ยังไงก็ตาม ห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด
เข้าใจ๊?”
“เรื่องอะไรหรอฮับ?” เด็กหนุ่มเอียงคอก่อนจะส่งสายตายียวน
เด็กเวรนี่…
“ก็เรื่องทั้งหมดที่เราคุยกันไง”
“ถ้าพี่ไม่บอกมาชัดๆ
ผมก็ไม่รู้น้าว่าเล่าเรื่องไหนได้บ้างไม่ได้บ้าง”
“ก็เรื่องที่ฉันชอบดีแลนไง!” ด้วยความโมโหเล็กน้อยที่ก่อตัวขึ้น
ทำให้โทมัสเผลอหลุดปากย้ำชัดถึงความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง
ก่อนที่จะผงะแล้วหันหน้าไปทางอื่น
ถ้าหากสังเกตดีๆก็เหมือนว่าจะมีริ้วแดงขึ้นบนแก้มขาวทั้งสองข้าง
“โว้ว…
ผมนึกว่าพี่ถูกไข้วาบจัดการไปแล้วนะเนี่ย ฮ่าๆ” เบลคหัวเราะก่อนจะหน้าเหวอหลังถูกฝ่าเท้าฟาดข้างลำตัวกึ่งแรงกึ่งเบาจากอีกคน
“ถ้างั้นออกไปกันเถอะ
เดี๋ยวคนอื่นจะสงส…” พยางค์สุดท้ายราวกับร่วงหล่นลงไปในหลอดอาหาร
เมื่อเขาเบิกผ้าใบเตนท์ออกมาแล้วเจอกับใครบางคนที่ไม่อยากจะเจอหน้าที่สุดพอดิบพอดี
พาลเอาแทบเก็บอาการทางสีหน้าไม่อยู่
“อ้าว มาอยู่นี่เอง เวสตามหานายซะทั่ว” ดีแลนกระดกแก้วน้ำสีใสในมือพลางชี้นิ้วโป้งข้ามไหล่ไปข้างหลัง
ที่ทุกคนกำลังก่อกองไฟกันอย่างสนุกสนาน
“อ้อ…
อื้ม” โทมัสพยักหน้าเบาๆ
ก่อนที่จะรีบวิ่งไปอีกทางหนึ่ง
“โอ๊ะ…”
เสียงต่อมาคือเสียงของเบลคที่เพิ่งออกจากเตนท์ หน้าตาเขาดูตื่นตระหนกยิ่งกว่าโทมัสเสียอีก
“อ้าว เบลค…”
“ว..วอทซับ เฮีย” เด็กหนุ่มร่างอวบยิ้มแหยๆ
“หืม?”
“เมื่อกี้เฮียไม่ได้ยินอะไรใช่มั้ย? แบบว่า…ในเตนท์น่ะ” เบลคกระซิบราวกับว่าจะมีใครมาได้ยิน
ทั้งๆที่เตนท์นี่ก็แค่เตนท์เก็บของหลังกองถ่ายที่ไม่ค่อยมีใครมาสุงสิงแท้ๆ
“ได้ยินนิดหน่อยตอนท้ายๆ…” ดีแลนยิ้มก่อนจะค่อยๆเลื่อนสายตาไปทางชายหนุ่มผมสีคาราเมลที่เพิ่งถึงตัวผู้กำกับของกอง
“แต่ทางที่ดี เฮียว่านายควรเล่าตั้งแต่เริ่มแรกนะ” รอยยิ้มที่ไม่อาจปฏิเสธได้ทำเอาคนตรงหน้าขนลุกซู่
.
.
.
“สรุปก็คือจะมีการปรับเปลี่ยนบทตรงนี้นิดหน่อยนะ
พวกนายสองคนไม่ต้องมองหน้ากันตรงนี้แล้ว ยังไงถ้าไม่มองมันอาจสื่อได้ดีกว่า
เมื่อกี้ที่นายไม่อยู่ ฉันบอกดีแลนไปแล้วล่ะ ถ้ายังไงเอาไว้คืนพรุ่งนี้แล้วกัน
ยังไงวันนี้ก็เลิกกองแล้ว” เวสแจกแจงบทให้กับคู่สนทนาที่พยักหน้าหงึกๆตอบรับตลอดเวลา
“โอเคครับ” โทมัสยิ้มให้ก่อนที่จะหมุนตัวกลับ
คนตรงหน้าทำให้เขาใจกระตุกเป็นรอบที่ร้อยของวันนี้
“ไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลย ตกใจหมด” ร่างบางถอนหายใจออกมาพลางส่ายหัวเบาๆ
“ที่นี่เป็นห้องนอนนายหรือไงกัน?” ดีแลนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง โทมัสทำได้แค่ยักไหล่พลางคลี่ยิ้มออกมาบางๆ
ก่อนจะเดินสวนไป แต่แล้ว…
‘หมับ!’
แขนเพรียวถูกคว้าเอาไว้จนเจ้าของร่างรู้สึกเหมือนจะโดนโยนออกอย่างไรอย่างนั้น
“อย่าเพิ่งไป ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วย เจอกันอีก 10 นาทีที่เตนท์เก็บของหลังกอง… ที่นายออกมากับเบลคน่ะ” ร่างสูงกระซิบเบาๆที่ใบหูของอีกฝ่าย
ก่อนจะเดินผิวปากจากไปอีกทาง
ถ้าเขาหันกลับมาสังเกตอีกนิดหนึ่งก็อาจได้เห็นใบหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดไปหมด
.
.
.
เท้าทั้งสองข้างเดินวนไปมาอย่างกระวนกระวาย
ความคิดในหัวตีกันไปหมดราวกับน้ำที่กำลังเดือดพล่านและมีฟองปุดๆที่เบียดเสียดกันไปมา
ก่อนจะแตกโพละแล้วผุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติพร้อมไปกับการคาดเดาที่ไม่ต่างจากการตีตนไปก่อนไข้
เขาได้ยินเรื่องในเตนท์หรือเปล่า?
ทำไมถึงต้องมาคุยกันแค่สองคน?
เขาคิดไปว่าฉันกับเบลคมีความลับอะไรหรือเปล่านะ?
“บ้าเอ๊ย…” โทมัสค่อยๆเลื่อนมือขวามาลูบใบหน้าตัวเองแรงๆหวังว่าจะสะบัดความคิดในหัวตนเองออกไปก่อน
เมื่อไรคนที่นัดเขาจะมาสักทีเนี่ย… นี่มันก็เกินสิบนาทีแล้วนะ
“ไง?”
“อะ…”
แวบหนึ่งในความคิดโทมัสผุดขึ้นว่า
‘ตายยากตายเย็น’
“นายสิ ว่าไง? มีอะไรหรอ” ถามออกไปด้วยน้ำเสียงปกติอย่างที่รู้ๆในใจว่าพยายามกดกลั้นไว้แค่ไหน
“นายคิดว่าที่นี่จะมีใครได้ยินที่เราพูดกันมั้ย?” ดีแลนมองไปรอบๆพลางถามเหมือนไม่ต้องการคำตอบสักเท่าไร
“ไม่รู้สิ…” ใจจริงร่างบางอยากจะบอกออกไปมากว่าถ้าจะมีใครมาได้ยินก็คงเป็นคนตรงหน้าที่มาได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับไอ้เด็กอ้วนนั่นมากกว่า
“ดี”
“มีอะไรว่ามา นี่มันดึกแล้ว ฉันก็ง่วงเป็นนะ อีกอย่างข้างนอกนี่มันหนาว” เป็นไปได้โทมัสก็อยากจะจบบทสนทนานี้เร็วๆ เขารู้สึกประหม่า…
“ฉันจะไม่พูดอะไรแล้วก็แล้วกัน” ดีแลนยิ้มขึ้นมาดื้อๆ ทำเอาอีกคนหน้าเหวอ
“หมายความว่าไง? นายเรียกฉันมาเพื่---“
คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายเข้าไปในคอ…
ถ้าพูดตามตรงก็เพราะริมฝีปากหนาของคนตรงหน้านั่นแหละที่เข้ามาประกบอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้ตั้งตัว… ใบหน้าของโทมัสรู้สึกร้อนผ่าว ถ้าเทียบกับในการ์ตูน
ก็คงมีเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คลอยอยู่รอบตัวเขาเต็มไปหมด อะไร? ยังไง? ทำไม?
เพื่ออะไร?...
ไม่นานนักดีแลนก็ผละริมฝีปากออก
ก่อนรอยยิ้มเหยียดกว้างจะเข้ามาแทนที่
“ในกองถ่ายถ้าจะจูบจริงขึ้นมาคงเป็นเรื่อง… แต่ที่นี่ก็คงได้” ดวงตาสีอ่อนที่หลุบต่ำลงมาเพื่อให้ประสานกับอีกฝ่ายกำลังบอกความรู้สึกอะไรบางอย่าง
“หมะ…หมายความว่ายังไง… ฉันไม่เข้าใจ” น้ำเสียงหวานตะกุกตะกักยิ่งกว่าที่เคยเป็น
ทุกอย่างมันประดังประเดเข้ามาจนทำให้เขาปรับตัวไม่ถูก
“ก็ตอนที่ถ่ายฉากตรงขอนไม้ไง” ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเหมือนตัดสินว่าอีกฝ่ายเป็นคนเข้าใจอะไรยาก
“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่พวกเราก็แค่เล่นกัน นายจะมาจูบฉันจริงๆทำไมเล่า!”
“แต่ฉันได้ยินตอนที่นายคุยกับเบลคในเตนท์… ตอนท้ายๆ แล้วฉันก็ให้เขาเล่าทุกอย่างที่นายไประบายใส่หมอนั่น” ดีแลนพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
สัญญาเฮงซวย โทมัสคิดในใจ
“…แล้วยังไง?
นายเลยมาจูบฉันเพราะฉันชอบนายเนี่ยนะ? ถ้ามีแฟนคลับสาวๆมาบอกชอบนาย
นายก็จะจูบกับทุกคนเลยงั้นสิ?” ใช่… มันไร้เหตุผลเกินไปที่ดีแลนจะทำเรื่องแบบนี้
“…นายเป็นอะไรเนี่ย” หน้าซื่อๆของคนตรงหน้าทำเอาโทมัสฟึดฟัดไม่หยุด
“ฉันต้องถามมากกว่าว่านายน่ะเป็นอะไร อยู่ดีๆก็มาจูบฉันทั้งๆที่…”
“ฉันชอบนาย”
“ใช่ ทั้งๆที่นายชอบ… หา?” คิ้วสีอ่อนขมวดเป็นปมคลายออกอย่างรวดเร็ว
“ใช่…
ฉันชอบนาย” รอยยิ้มที่ดูยียวนถูกส่งมา
แต่ก็ไม่พอที่จะปะทุความโมโหให้กับโทมัสได้
“ฉันไม่ถนัดมาสารภาพรักโรแมนติกอะไรแบบนั้นหรอกนะ แต่ฉันชอบนายจริงๆ แซงสเตอร์” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแผ่ซ่านไปด้วยความรู้สึกที่จริงจังกว่าครั้งที่ผ่านมา
เขาเน้นย้ำนามสกุลของอีกคนเพื่อบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“…” จากความงุนงงแปรเปลี่ยนไปอีกอารมณ์หนึ่ง
ใบหน้าหวานขึ้นสีเป็นรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้แล้วของวันนี้
พลางทำให้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลุบมองพื้นโดยอัตโนมัติ
ดีแลนไม่พูดอะไร
แต่เขาค่อยๆใช้มือเชยคางมนของอีกคนขึ้นมาแทน
โทมัสยังคงหลบตาและไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย นิ้วโป้งหนาเกลี่ยรอบริมฝีปากอิ่มก่อนที่จะกดจูบลงไปอีกครั้ง
ครั้งนี้โทมัสรู้สึกกับมันมากกว่าเดิม
อะไรๆที่คลี่คลายทำให้รสจูบครั้งนี้ทั้งหวานหอมและร้อนรุ่ม
รู้สึกได้ว่าโพรงปากของเขากำลังถูกกวาดต้อนราวจะสูบรสหวานไปให้หมดสิ้น
ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดพันกันเหมือนกับไม่อยากจะจากไปไหน ร่างบางรู้สึกถึงโครงเหล็กที่เย็นเฉียบของเสาเตนท์
แต่ความร้อนรุ่มที่ก่อเกิดในร่างกายกลับทำให้ความรู้สึกนั้นมลายไปหมดสิ้น
เขาตัดสินใจโอบแขนรอบคอของอีกคนแทนกับเสาหลัก
เพราะขาคู่นี้มันแทบจะยืนพื้นไม่ได้อยู่แล้วนั่นแหละ…
คนอะไรจูบเก่งเป็นบ้า… โทมัสคิด
เวลาช่างผ่านไปเนิ่นนานราวกับความฝัน
แต่หลังจากที่ริมฝีปากของทั้งคู่ผละออกมาจากกัน
ดวงตาสีอ่อนที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขารู้ว่านี่คือความจริง...
โทมัสและดีแลนยิ้มออกมาบางๆให้กัน
ก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆเลื่อนเข้าใกล้กันอีกครั้งในราตรีที่เงียบสงัด
.
.
.
“กล้องพร้อม
นักแสดงพร้อม เทปเดิน… ซีน 7 คัท 2 เทค 5”
“แอคชั่น!”
“ได้ยินเสียงนั่นไหม?... มันเป็นเสียงของวงกตที่เคลื่อนสลับกันไปมาทุกคืน”
“…”
บทเดิมๆที่ทั้งคู่ส่งกันไปมาอย่างคล่องแคล่วขึ้นจน
เวส บอล ยอมรับว่าเขาตกใจเล็กน้อย… โดยเฉพาะกับฉากสุดท้ายที่เขาเพิ่งบอกไปเมื่อวาน
ทั้งคู่กลับสามารถมองตากันโดยสื่อถึงความห่วงใยได้มากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก